นายหน้าไฮโซ เทรนด์ร้อน ติดชาร์ตกระแสโลก
· จับอุณหภูมิ “ซูเปอร์นายหน้า” กำลังร้อนตามแรงเหวี่ยงของกองทุนทั่วโลกที่กำลังเฟื่องฟู
· นี่คือ “เทรนด์” ธุรกิจที่คนในวงการยอมรับว่าแรงจริง
· อะไรคือเป้าหมายหลักของอาชีพเสริมนี้ สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเอง รายได้ดี หรือเพื่อภาพลลักษณ์
· จริงหรือกับคำเปรียบเทียบว่า “นายหน้าไฮโซ” คล้ายกับอาชีพคนเก็บของเก่าขาย
คำว่า “นายหน้า” หรือ “ตัวกลาง” หรือ “Match Maker” หรือ “Deal Maker” ไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้แต่นายหน้าที่เป็นคนระดับสูงในวงการข้าราชการ วงการธุรกิจ ก็มีให้เห็นอยู่บ้างทั้งในอดีต และปัจจุบัน ที่รู้จักกันดีในบ้านเราเห็นจะได้แก่ เนาวรัตน์ พัฒโนดม กับ ราศี บัวเลิศ ที่สั่งสมชื่อเสียงและเงินทองจากการเป็นนายหน้าค้าอาวุธเมื่อครั้งอดีต
ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีข่าวอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นำกลุ่มดูไบเวิลด์ เข้ามาศึกษาความเหมาะสมของแนวทางหารพัฒนาท่าเรือฝั่งทะเลอันดามันและสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงท่าเรือฝั่งอ่าวไทย (แลนด์บริดจ์)
หลายคนไม่แน่ใจว่างานนี้อดีตนายกฯจะทำหน้าที่เพียงแค่ “ตัวกลาง” เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ หรือ เป็นอะไรกันแน่
ส่วนที่เพิ่งเป็นข่างบนหน้าหนังมือพิมพ์เมื่อ 21 ก.ค. ที่ผ่านมาก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้มีที่ปรึกษาการเงินต่างประเทศติดต่อเข้ามาให้บริษัทเป็น “คนกลาง” หานักลงทุนไทย ที่สนใจเข้าไปซื้อโครงการบ้านจัดสรรยกโครงการในสหรัฐอเมริกาที่กำลังเกิดวิกฤตสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) และลามไปถึงเสถียรภาพของสถาบันการเงินอยู่ในขณะนี้
นายหน้า หรือคนกลางมีวิถีบนเส้นทางธุรกิจของไทยมานานแล้ว
เพียงแต่นับจากนี้ “นายหน้า” หรือ “คนกลาง” จะเปลี่ยนสภาพเป็น ซูเปอร์ ดีล เมกเกอร์ หรือ ซูเปอร์ คนกลางที่มีจำนวนมากขึ้น และหยิบเงินครั้งละเป็นฟ่อนมากขึ้น อันเนื่องมาจาก การเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากของบรรดากองทุนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Hedge Fund, Mutual Fund, Private Equity Fund, Property Fund และ Soveereign Fund ของประเทศต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งประเทศแถบตะวันออกกลางที่ทุกวันนี้สะสม “กระสุนเงินตรา” จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ขยับตัวสูงขึ้นตลอดหลาย เดือนที่ผ่านมา ที่สำคัญเงินเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนทิศทางมาที่ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น และที่มากเป็นพิเศษคือมาเลเชีย เนื่องจากมีประเทศมี่สามารถเข้า ไปลงทุนได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย ไทย ที่ยังมีศักยภาพในการเจริญเติบโตได้อีกมาก
นี่คือเงินจำนวนมหาศาลที่จะเข้ามาในบ้านเราในรูปแบบของการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการ ธุรกิจการสื่อสาร ธุรกิจพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ ดังจะเห็นได้จากการผุดขึ้นดังดอกเห็ดของคอนโดมิเนียม หรือโรงแรม ที่มีเจ้าของเป็นต่างชาติ
โดยมี “คนไทย” เป็น “คนกลาง” ในการจัดการ “ดีล” ธุรกิจต่างๆเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าของธุรกิจบางคนบอกว่าการมีธุรกิจข้ามชาติเข้ามาในบ้านเรามากๆ เป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้คนไทยมีทางเลือที่หมากหลายมากขึ้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใดจะทำให้เกิด “ซูเปอร์นายหน้า” ทั้งที่เป็นไฮโซ และไม่ใช่ไฮโซ เกิดขึ้นมาบ้านเราอีกหลาย คน เพื่อคว้าเงินก้อนโตเหล่านี้
เงินสะพัดเฉพาะ “ผู้คน” ระดับบนอีกแล้วครับท่าน
หม่อนเต่า
นายหน้า
ระดับ “ราชนิกุล”
คงไม่ใช่เรื่องทีน่าแปลกใจที่ชื่อ “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล” หรือ “หม่อมเต่า” อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ที่ขึ้นชื่อในความ “ปากจัด” จะกลายมาเป็น “นักธุรกิจ” ในรูปแบบของ Match Maker หรือ “คนกลาง” ที่ใช้ “ปาก” ในการเจรจาพาทีเชื่อมธุรกิจหนึ่งไปสู่อีกธุรกิจหนึ่ง โดยสิ่งที่ได้ก็คือ “เม็ดเงิน” ที่ไหลเข้ามาเป็นกำกว่าการรับราชการในตำแหน่งเดิมหลายสิบเท่าตัว หรือบางทีอาจจะมากกว่าซีอีโอองค์กรใหญ่ๆ หลายองค์กรมากกว่าเท่าตัว
เพราะวันนี้ “คุณชาย” อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง, อธิบดีกรมสรรพสามิต, อธิบดีกรมสรรพากรและปลัดกระทรวงการคลังได้เปลี่ยนไปมากหนังสือพิมพ์บางฉบับบอกว่าในวันนี้ “หม่อมเต่า” กลายเป็นคนที่ดูใจเย็นลง พูดจาสุภาพ เริ่มเป็นนักอธิบายความได้เก่งขึ้น แต่บุคลิกยังคงความกระฉับกระเฉง ทั้งที่อายุเลยวัยเกษียณมาแล้วหลายปี
“ผมไม่ค่อยดุใครนะ ข้าราชการบอกว่าผมดุ พอออกมาทำเอกชนผมไม่เคยดุใครเลย แล้วอีกอย่างผมมาฟิลด์เอกชนแล้ว สภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไป ต้องใจเย็นโดยปริยาย ลักษณะงานต้องทำแบบนี้ เพราะประเด็นอยู่ที่ว่าทำอย่างไรสิ่งที่ต้องการถึงจะเกิด สมัยรับราชการเคยอัดแรงๆ จุดมุ่งหมายไม่ใช่คน แต่เป็นเป้าหมายของงานมากกว่างานราชการวิธีพุดจึงไม่เป็นประเด็น แต่ทำงานเอกชนต้องให้คนพอใจ”
วันก่อน “หม่อมเต่า” เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในฐานะคนคุมเงินที่ดูแลการบริหารเศรษฐกิจของประเทศแต่วันนี้หลายคนทั่วโลกรู้จักในฐานะนักธุรกิจที่มากด้วยความรู้ ความสามารถ และคอนแนกชั่น ถึงขนาดที่สามารถพาบริษัท ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ ซีดีแอล ทุนใหญ่ลำดับ 2 แห่งเกาะสิงคโปร์ (รองจากแคปิตอลแลนด์ ที่เข้ามาร่วมลงทุนกับกลุ่มเจริญสิริวัฒนภักดี) เข้ามาลงทุนในบ้านเราอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ปัจจุบัน ม.ร.ว. จัตุมงคล มีธุรกิจส่วนตัวหลายอย่างตั้งแต่ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายเสื้อผ้า และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการเป็น “Deal Maker” ให้กับกลุ่มทุนต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย ในฐานะ Project Co-Ordinator ผ่านบริษัท เอ็ม ที อาร์ แอสเส็ท แมนเนเจอร์ ที่นั่งเป็นประธานกรรมการนอกจากนี้ยังมีบริษัทที่ปรึกษาที่ชื่อ ซีเอ็ม โซลูชั่น จำกัด
ผลงานที่ผ่านมาก็คือการทำ “ดีล” ลงทุนขนาดกลางระดับ 1,000-10,000 ล้านบาท ไปแล้วหลายกลุ่มเช่น กลุ่มซีดีแอลที่เข้ามาพัฒนาโรงแรมริมน้ำเจ้าพระเยาเป็น Project Co-ordinator ให้กองทุนรีแคป (บริษัท เรียล เอสเตท เอเชีย พาร์ทเนอร์สฯ ที่ก่อตั้งโดยซีดีแอลร่วมกับบริษัทกองทุนรวมของสหรัฐฯ และบริษัทจำกัดพันธมิตรอื่นๆ) วึ่งเป็นกองทุนอสัหาริมทรัพย์จากเกาะเคย์แมนเข้ามาทำคอนโด “เดอะ มีลนเนียม เรสซิเดนซ์” ที่สุขุมวิทซอย 18
“ผมไม่ได้รับจ้าง แต่บริษัทเอ็มทีอาร์รับจ้างเป็น Project coordinate งานที่รับทำก็แล้วแต่จะตกลงกัน ผมเป็น นายหน้าไม่ได้ซื้อมาขายไป ผมไม่กล้าเสี่ยงอย่างนั้นหรอกเสียภาษีเยอะ ขนาดคนได้ที่ดินมรดกยังไม่ยอมโอนเลยเพราะเสียภาษีมาก ผมจะได้เงินเมื่อโปรเจกต์นั้นๆ มีผลตอบแทนสูงได้ถึงระดับที่จะจ่ายเงิน ดังนั้นแม้สัญญาหมดแล้วก็ยังทำต่อ ถามผมว่าผมได้ส่วนแบ่งกี่เปอร์เซ็นต์ สัดส่วนที่ผมจะได้รับตอบไม่ได้ ผู้ที่จ้างเราเขาทำมากกว่าเขาลงทุนและลงแรงของเราจึงได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์”
แม้จะเป็นจำนวนเงินเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์แต่ก็เป็นเม็ดเงินที่ไม่น้อย ส่วนจะขนาดไหนนั้นคาดเดาเอาว่าต้องมากกว่าเงินเดือนของประธานกรรมการธนาคารอย่างแน่นอน
“ในช่วงที่รับราชการก็มองเห็นแล้วล่ะว่า งานลูกจ้างกับนายจ้างมันไม่รวยทั้งคู่ มีแต่เจ้าของเท่านั้นที่มีทรัพย์สินถาวร ลูกจ้างเงินเดือนที่ได้ก็ไม่พอส่วนนายจ้างมีเงินพอก็จริงแต่เวลาหมดก็หมด ทุกคนที่มาติดต่อผมก็พูดแบบนี้ ผมจึงพยายามที่จะไม่เป็นทั้งสองอย่าง ถ้าเป็นต้องอยู่ฝ่ายเจ้าของ ซึ่งเป็นได้ 2 วิธี คือ 1.มีเงินแล้วซื้อทรัพย์สิน 2.ไปบอกคนมีเงินว่าทำอะไรที่เป็นพาร์ตเนอร์ชิปแล้วทำกำไร เขามีเงินก็ลงเงิน ผมมีแรงก็ลงแรง ทำเสร็จกำไรก็แบ่งกัน” หม่อมเต่า บอกเล่าความคิดที่มีมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่อังกฤษ
จากแนวคิดดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ “หม่อมเต่า” เลือกที่จะมาเป็น “คนกลาง” ที่เชื่อมระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ เจ้าของที่ดินกับเจ้าของเงิน เจ้าของเงินกับเจ้าของเงิน เจ้าของธุรกิจกับเจ้าของเงิน และอื่นๆ
จุดเริ่มต้นของการเป็น “คนกลาง” ระดับแถวหน้าที่รับเงินก้อนโต เกิดขึ้นหลังจากที่ออกจากแบงก์ชาติ หลังจากถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2544 เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ทบทวนนโยบายด้านดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ด้วยความเป็นผู้ที่มากด้วยความสามารถแถมยังมีดีกรีที่เป็นทั้งผู้บริหารระดับสูงหลายหน่วยงาน ที่กำกับดูแลการบริหารเศรษฐกิจของประเทศจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดหากจะมีบริษัททั้งในและต่างประเทศจะเข้ามารุมจีบให้ไปเป็นที่ปรึกษาของบริษัทกระทั่งได้เข้าไปทำงานให้กับเวสท์บรู้ก ซึ่งเป็นกองทุนของสหรัฐฯที่เข้ามาลงทุนในไทยผ่านการถือหุ้นบุริมสิทธิผ่านกลุ่มเอราวัณ รวมถึงการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้กับกลุ่มซีดีแอล ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ต้องการให้หม่อมเต่าตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อดูแลงาน
“อันที่จริงจะเรียกที่ปรึกษาก้ไม่ได้ที่เดียวนัก ผมทำความสัมพันธ์เชิงธุรกิจเพราะผมไม่ได้รับค่าปรึกษาอย่างรางการภูเก็ต จังซีลอน ข้อตกลงก็คือทำแล้วตอนจบถ้ามีกำไรระดับหนึ่งก็แบ่งให้ผมส่วนหนึ่ง ถ้าดุจริงๆ รูปแบบการทำงานของผมเหมือนกับพวกที่ลงทุน เป็นฟันด์แบบกองทุน เจ้าของอยู่ทั่วโลก
พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์เขาแบ่งเงินจากทรัพย์สินที่ถือประมาณ 1.86% เป็นค่าบริหาร เมื่อทำแล้วมีกำไรก็ต้อคืนให้กับ Investor กำไรส่วนเกินก็แบ่ง ผมก็ทำต่างจากเขาตรงที่ว่าไม่ได้แบ่งจากขนาดของแอสเสทไซส์แต่แบ่งจาก cost เขาก็ cover cost ให้ผมพอกำไรเกินระดับหนึ่งเราก็แบ่งกัน
ดังนั้น คนที่เป็นเจ้าของฟันด์จริงๆ ไม่ต้องลงเงินเลยซักบาทก็มี แต่แผนงานจะบอกให้ลงในอะไร เมื่อไหร่ ถึงเวลาก็เบิก investor ส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีเงินเป็นขาประจำ เช่น กลุ่มค้าน้ำมัน ประกันชีวิตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ พวกนี้มีเงินเหลือเยอะมาก อย่าง GIC สิงคโปร์มีเงิน 1.8 แสนล้านเหรียญมีคนทำอยู่แค่ 200 คน”
ทั้งที่ช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจ “หม่อมเต่า” อยากจะทำงานแบบวันแมนโชว์ ไม่อยากมีสำนักงานไม่อยากมีบริษัท ไม่อยากมีลุกน้องเพราะเกรงจะเป็นภาระนับ แต่เอาเข้าจริงๆ จนถึงวันนี้ ม.ร.ว.จัตุมงคล มีพนักงานปาเข้าไปร่วม 20 คน เพื่อดูแลพอร์ตของซีดีแอล ที่มีอยู่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท (จากที่มีพอร์ตลงทุนทั่วโลกอยู่ราว 7 แสนล้านบาท) และเชื่อว่าหากเศรษฐกิจดีกว่านี้กลุ่มทุนของสิงคโปร์กลุ่มนี้หรือกลุ่มทุนอื่นก็พร้อมที่จะลงทุนทุกเมื่อ เพราะเชื่อในฝีมือ ด้วยที่ผ่านมาโครงการทุกโครงการประสบความสำเร็จด้วยดีตลอด และทุกวันนี้หม่อมเต่าก็ยังตระเวนดูที่ดูทางที่ถูกใจเหมาะกับการนำมาพัฒนาโครงการ
และเชื่อว่าต่อไปแนวโน้มของธุรกิจใหญ่ หรือข้าราชการระดับสูงอาจจะผันตัวมาเป็น “นายหน้าไฮโซ” กันยกใหญ่ เพราะการลงทุนในลักษณะนี้ ถือเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากในอนาคต โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่วันนี้ด้วยต่อไปถนนเงินทุนทุกสายในโลกจะพุ่งเข้ามายังเมืองไทย
ที่สำคัญการดำเนินธุรกิจแบบที่ “หม่อมเต่า” กำลังทำอยู่นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นแนวโน้มเศรษฐกิจของโลกที่กำลังจะได้รับความนิยมในวันข้างหน้าเลยทีเดียว
“นี่จะเป็นเทรนด์อนาคตของโลก คนที่คิดขึ้นมาคือให้มีความสำคัญระหว่าง investor คือ ผู้ถือหุ้นกับฝ่ายจัดการ จะมี 4-5 คน แล้วมีการลงคะแนนซึ่งเป็นวิธีที่ดีกว่าในปัจจุบันเป็นแนวใหม่อันหนึ่งของการบริหารในอีก 100 ปีข้างหน้า” นายหน้าไฮโซระดับหมื่นล้านกล่าวไว้เช่นนั้น
ไฮโซแห่สวมบทนายหน้า
ผลตอบแทนงาม ไม่มีต้นทุน
นันทวัน แสงธรรมกิจกุล เซเลบไฮโซชื่อดัง กล่าวแสดงความเห็นว่าแม้นายหน้าเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับการยอมรับในแวดวงไฮโซไทย แต้ด้วยผลตอบแทนที่คุ้มค่า สามารถเสริมความยั่งยืนให้กับบทบาทไฮโซที่ได้รับการยอมรับ โดยแทบไม่ต้องมีการลงทุนใดๆ ทำให้ผู้คนในแวดวงไฮโซต่างมีความสนใจที่จะเข้ามาทำธุรกิจนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแต่ละคนก็มีเป้าหมายของผลตอบแทนที่ต่างกันไป ตั้งแต่เงินรายได้จนถึงชื่อเสียง
เป็นที่ยอมรับกันว่าไฮโซในประเทศไทยขยายวงอย่างรวดเร็ว ภาพพจน์ของกลุ่มคนที่มาจากราชนิกุลการศึกษาดี ฐานะดี เลือกใช้สินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ ได้รับเชิญออกงานสังคมหรูหรา นำมาซึ่งการยกย่องในสังคม สิ่งนี้คือความปรารถนาของผู้มีฐานะร่ำรวย มีเงินเหลือกินเหลือใช้ จนทำให้วงการไฮโซไทยถูกขยายออกจากกลุ่มคนที่มาจากราชนิกุลเข้าสู่ผู้ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจหรือผู้ที่สามารถสร้างภาพของตนในการเป็นผู้เลือกใช้ชีวิตด้วยสินค้าแบรนด์เนมราคาแพง นำแฟชั่น เมื่อเข้าสู่สังคมไฮโซก็ถูกเรียกขานกันว่าไฮโซเช่นเดียวกัน แม้ในช่วงแรกจะมีชื่อเรียกเหน็บไฮโซเช่นเดียวกัน แม้ในช่วงแรกจะมีชื่อเรียกเหน็บไฮโซพันธุ์ทางเหล่านี้ว่า “ไฮซ้อ” ก็ตาม
“คนในวงการไฮโซส่วนใหญ่ไม่มีอาชีพตรงๆ รายได้ส่วนใหญ่มาจาการรับงานเป็นเซเลบิตี้ที่ผู้จัดงานจะเลือกไฮโซที่มีภาพพจน์ดี สามารถส่งเสริมให้การจัดงานได้รับความสนใจ หรือความน่าเชื่อถือสูงขึ้นซึ่งเหล่าไฮโซก็จำเป็นต้องรักษาภาพพจน์ของตนเองให้เป็นที่ได้รับการยอมรับอยู่ตลอดเวลา จุดนี้การหาอาชีพเสริม เข้าสู่วงการนายหน้า สร้างความสำเร็จในการเป็นตัวกลางซื้อขายสินค้าราคาแพง เช่น ที่ดิน หรือ เครื่งประดับ พาคน 2 คนมาพบปะกัน โดยไม่ต้องจำเป็นต้องไปหาความรู่ใดๆ เพิ่มเติม ก็สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตนเองได้ เปรียบเสมือนอาชีพขายของเก่าที่วันนี้ไม่ได้มีเพียงคนคนเก็บของเก่า แต่งตัวมอมแมมเท่านั้นที่ทำอาชีพนี้ ราคาเหล็ก ราคากระป๋องราคาพลาสติก ที่กิโลกรัมละหลายสิบบาท ทำให้คนทั่วไปก็เริ่มทำกัน สร้างรายได้ที่ดีโดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไร นายหน้าไฮโซก็คล้ายกัน”
การทำธุรกิจนายหน้าของคนในวงการไฮโซถือเป็นการจับคู่ในการทำธุรกิจ ที่เรียกได้ว่า วิน-วิน เจ้าของที่ดิน หรือเจ้าของเครื่องประดับ อัญมณี ที่เป็นคนโลว์โปรไฟล์ ไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม โดยเฉพาะชาวต่างประเทศ จะสามารถขายสินค้าของตนได้โอยง่าย และได้ราคาที่สูงกว่าเดิม หากได้จับคู่กับนายหน้าไฮโซ ที่เป็นผู้มีความกว้างขวางในวงการและมีความน่าเชื่อถือ เพราะนอกจากไฮโซผู้นั้นจะสามารถเสาะหาผู้มีความสนใจได้อย่างไม่ยากแล้วการตั้งราคาสินค้าให้สูงขึ้นกว่าราคาที่ควรจะเป็นก็สามารถทำได้ เพราะผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นในภาพพจน์ของนายหน้าไฮโซผู้นั้นที่จะนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสอดคล้องกับรสนิยมของตน
ขณะเดียวกัน บทบาทการประสานการซื้อขายสินค้ามูลค่าสูงให้ประสบความสำเร็จของนายหน้าไฮโซผลตอบแทนที่คิดกันว่าเป็นเรื่องของส่วนแบ่งจากการขายไม่ใช่เป้าหมายหลักที่เหล่านายหน้าไฮโซต้องการเพราะคนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีรายได้เหลือกินเหลือใช้หากแต่การพิทักษ์รักษาภาพพจน์ของตนให้ได้รับการยอมรับว่าอยู่ในแถวหน้าของสังคมอยู่เสมอ การประสบความสำเร็จกับดีลทางธุรกิจได้กลายช่องทางหนึ่งที่กำลังเป็นเทรนด์ของวงการไฮโซในปัจจุบัน
นันทวันกล่าวว่า คนในวงการไฮโซไม่ต้องการให้ใครมองว่าตนมีอาชีพเป็นนายหน้า แต่กลับมีความต้องการเข้ามาเป็นตัวกลางในการจับคู่การค้าขายกันอย่างมาก ทั้งนี้ คนที่จะมีคุณสมบัติในการเป็นนายหน้าไฮโซได้ ประเด็นสำคัญ นอกเหนือจากบทบาทไฮโซที่ได้รับการยอมรับในสังคมแล้ว ความน่าเชื่อถือที่มีอยู่ในตัวถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการทำหน้าที่ตัวแทนในการซื้อขายสินค้าราแพง ภาพพจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในตัวสินค้า อาทิ ราคาที่ดินหรือแนวโน้มราคา รวมไปถึงความสำเร็จในการดีลธุรกิจในลักษณะนี้มาก่อนล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะเสริมความน่าเชื่อถือที่จะดึงผู้สนใจมาทำธุรกิจกับเจ้าของสินค้าได้ นอกจากนั้นความน่าเชื่อถือของนายหน้าไฮโซ จะนำมาซึ่งฐานผู้ฟังทีกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำนวนผู้ฟังยิ่งมากขึ้น ก็จะทำให้โอกาสที่จะสร้างความสำเร็จในดีลการซื้อขายสินค้าใดๆ มีมากขึ้น ได้ราคาสูงขึ้นแลแน่นอนว่า ชื่อเสียงของไฮโซคนนั่นก็จะมีมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
ฮาริสัน
ดึงไฮโซร่วมงาน
สร้างคอนเนกชั่น
กิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฮาริสัน ที่ปรึกษาและผู้บริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้กล่าวถึงการจัดอีเวนต์ใหญ่ ซึ่งจะมีขึ้นในอีก 1-2 เดือนนี้ ในรูปแบบของ Harison Alliance โดยจะมีการเชิญพันธมิตรที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม นักธุรกิจ ที่มีอสังหาริมทรัพย์ในมือ ต้องการขาย หรือให้เช่า ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน โรงแรม สนามกอล์ฟ ซึ่งเป็นรูปแบบคล้ายๆ ผู้ขายพบผู้ซื้อ
“สินทรัพย์ที่เราพูดถึงไม่ใช่แค่ 10-20 ล้านบาทแต่มีมูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป เป็นสินทรัพย์หรือโครงการใหญ่ที่มีวอลุ่มสูง โดยเริ่มจะใช้งบ 2-3 ล้านบาท ในการโปรโมตผ่ายสื่อโฆษณาต่างๆ ทั้งวิทยุ นิตยสาร คาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานนับพันคนแต่เราอาจจะต้องคัดเลือกเหลือเพียงหลักร้อยรายเท่านั้น โดยเราจะเชิญบุคคลเหล่านี้มาร่วมสัมมนา ให้มีความเป็นมืออาชีพ ซึ่งงานนี้นอกจากจะเป็นการหาพันธมิตรแล้ว ยังเป็นการสร้างแบรนด์อะแวร์เนสให้กับบริษัท ฮาริสัน” กิติศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้งานดังกล่าวถือเป็นการรวบรวมนายหน้าแม้จะไม่ใช่นายหน้าด้านอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของสังคมและมีคอนเนกชั่นที่กว้างขวาง รู่ว่าใครมีอสังหาริมทรัพย์ในมือที่ต้องการจะขาย ก็ติดต่อมาที่บริษัท ซึ่งทางฮาริสาสันก็จะมีลูกค้าที่ต้องการซื้อ ซึ่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์บางคนอาจจะไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ถึงดีลการซื้อขาย ทางบริษัทก็จะจัดเป็นไพรเวตดีลเพื่อประโยชน์ของผู้ขายโดยตรง โดยทางบริษัทจะมีผลตอบแทนให้กับนายหน้าเหล่านี้เพียงแต่ตัวเลขยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหาร
“การได้พันธมิตรที่มีคอนเนกชั่นกว้างขวางทำให้เรามีดีลใหญ่ทำให้เราสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เรามีสินทรัพย์ในมือมากขึ้น และเรารู้ว่าใครมีความต้องการซื้อเราก็นำไปเสนอซึ่งเป็นรูปแบบการติดต่อจากระดับบนสู่ระดับล่าง เราเข้าถึงCEO เมื่อเขาสนใจเขาก็สั่งลูกน้องเดินเรื่องต่อทำให้ดีลซื้อขายบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็ว ขณะที่รูปแบบเดิมเป็นการประสานจากระดับล่างไหสู่ระดับบนกว่าจะมีการอนุมัติต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรดังนั้นเราจึงจับคู่ธุรกิจให้เกิดดีลที่รวดเร็วขึ้น” กิติศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ดีสำหรับโครงการทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากสภาวะทางเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง เงินเฟ้อ ราคมน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ น้อยลง โดยโครงการที่มีศักยภาพสูงต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ดีจริงๆ จึงจะขายได้
สำหรับในส่วนของฮาริสัน แม้นะต้องขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ปัจจัยลบนานัปการ แต่ทางบริษัทได้ปรับเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นจาก 12,000 ล้านบาท เป็น 15,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกสามารถขายไปได้แล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ทางบริษัทจะมีการจัดงาน ART of LIVING โดยนำสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมอมาเสนอขายซึ่งเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะสร้างยอดขายเกินเป้าโดยจะสูงถึง 18,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่ทำให้ ฮาริสัน ประสบผลสำเร็จในด้านยอดขาย เนื่องมาจากการหันมาให้ความสำคัญกับการขายที่ดินเพื่อการลงทุนมากขึ้น โดยในชาวงครึ่งแรกของปีสามารถขายไปได้แล้วกว่า 10 แปลง คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 3-4 แปลง ซึ่งฮาริสันถือว่าตัวเองได้เดินมาถูกทาง โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่มีทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน ผู้ประกอบการโรงแรม แนะนักลงทอนต่างชาติส่วนยอดขายอีก 6,000 ล้านบาทมาจากการขายที่อยู่อาศัยทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม และในจำนวนดังกล่าวเป็นซื้อของชาวต่างชาติ 30%
นอกจากนี้ ฮาริสัน ยังเป็นนายหน้าให้กับซีพีแลนด์ในการขายโครงการคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 6 อาคาร รวม 792 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าโครงการทั้งหมด 2,010 ล้านบาท โดยใช้ชื่อโครงการว่า The Chur ตั้งอยู่นบพื้นที่ 30 ไร่ บริเวณพัทยาใต้ใกล้หาดจอมเทียนโดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือพักอาศัยชั่วคราว โดยโครงการดังกล่าวทางซีพีแลนด์ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับแมคโนเลีย ภายใต้ชื่อบริษัท ซี พี แมคโนเลีย ถือหุ้นฝ่ายละ 50% โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และคาดว่าสร้างเสร็จปลายปี 52 โดยมีราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท
http://www.homed4u.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539363006
https://www.facebook.com/profile.php?id=100009945105162